6 สัญญาณเตือนรอบเตียง ผู้สูงอายุติดเตียงเริ่มเสี่ยงทรุดซ้ำ

3 views | 4 วันที่แล้ว

6 สัญญาณเตือนรอบเตียง ผู้สูงอายุติดเตียงเริ่มเสี่ยงทรุดซ้ำ

ผู้สูงอายุติดเตียง คือ ผู้สูงวัยที่ต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลาจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ตามปกติ ซึ่งอาจเกิดจากโรคร้ายแรงหรืออุบัติเหตุ (เช่น ผู้สูงอายุที่หกล้มบ่อยจนกระดูกสะโพกหัก หรือหลังการผ่าตัดใหญ่) จนร่างกายฟื้นฟูกลับมาเดินไม่ได้อีกต่อไป การดูแลผู้สูงอายุที่เดินไม่ได้เหล่านี้จำเป็นต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะการนอนนานๆ ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหรือปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมาได้ง่าย หากละเลยสัญญาณเตือนเหล่านี้ ผู้ป่วยอาจทรุดลงหรือเกิดเหตุการณ์ซ้ำ (เช่น โรคเดิมกำเริบ) ได้อีก ด้วยเหตุนี้ บทความนี้จึงรวบรวม 6 สัญญาณรอบเตียง ที่ลูกหลานและผู้ดูแลควรสังเกตเมื่อดูแลผู้สูงอายุติดเตียง เพื่อป้องกันไม่ให้สุขภาพของท่านแย่ลงซ้ำ

1. ผิวหนังแดงหรือแผลกดทับเกิดขึ้น

เมื่อผู้สูงอายุนอนท่าเดิมเป็นเวลานาน แผลกดทับ มักเป็นปัญหาแรกๆ ที่พบได้บ่อย จุดที่เกิดแผลกดทับคือบริเวณปุ่มกระดูกต่างๆ เช่น สะโพก ส้นเท้า ข้อศอก หรือกระดูกก้นกบ หากสังเกตเห็นผิวหนังของผู้สูงวัยเริ่มแดงลอก หรือเป็นแผลเปิด เป็นสัญญาณเตือนว่ากำลังเกิดแผลกดทับขึ้นแล้ว แผลกดทับในระยะแรกอาจมีแค่รอยแดงหรือถลอกที่ผิว แต่ถ้าปล่อยไว้นานแผลจะลึกลงถึงชั้นกล้ามเนื้อ หรือบางรายรุนแรงจนลึกถึงกระดูก แผลกดทับมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายและอาจอันตรายถึงชีวิตหากไม่รักษา

ครอบครัวหรือญาติควรป้องกันไม่ให้แผลกดทับลุกลามด้วยการพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมง เปลี่ยนท่านอนบ่อยๆ ใช้ที่นอนโฟมหรือเบาะลมที่ช่วยลดแรงกดทับ รวมถึงรักษาความสะอาดผิวหนังให้แห้งอยู่เสมอ การใส่ใจสัญญาณเตือนนี้และการป้องกันแผลกดทับอย่างเคร่งครัดจะช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้อาการของผู้สูงอายุติดเตียงทรุดหนักลง

2. ข้อติดแข็งและกล้ามเนื้อลีบ

ผู้สูงอายุติดเตียงที่เคลื่อนไหวร่างกายน้อยมากอาจเริ่มมีอาการ “ข้อยึดติด” หรือข้อต่อขยับได้น้อยลง และมวลกล้ามเนื้อฝ่อลีบลงเรื่อยๆ สังเกตได้จากแขนขาที่ผอมลงหรือข้อต่างๆ งอเหยียดได้ไม่สุด นี่คือหนึ่งในสัญญาณรอบเตียงที่บ่งบอกว่าผู้ป่วยขาดการขยับตัวอย่างเพียงพอ ภาวะข้อยึดติดและกล้ามเนื้อลีบนี้มักพบในผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต และผู้สูงวัยที่ต้องนอนนิ่งบนเตียงเป็นเวลานาน การทำกายภาพบำบัดให้ผู้สูงวัยอย่างสม่ำเสมอจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของข้อต่อและกล้ามเนื้อได้

ดังนั้น ผู้ดูแลควรขยับเปลี่ยนท่าทางแขนขาของผู้ป่วยวันละหลายๆ ครั้ง (Passive Exercise) หรือใช้อุปกรณ์ช่วยบริหารกล้ามเนื้อ เพื่อป้องกันข้อยึดติดถาวร นอกจากนี้ การพาผู้สูงอายุเปลี่ยนอิริยาบถมานั่งบนรถเข็นเป็นช่วงๆ ก็ช่วยให้กล้ามเนื้อได้ทำงาน ลดการนอนนิ่งจนเกินไป หากที่บ้านมีนักกายภาพบำบัดมาดูแล หรือให้ผู้สูงวัยทำกิจกรรมกายบริหารเบาๆ เช่น บีบลูกบอลยางที่มือ ยกขาเหยียดเข่า จะช่วยลดอาการข้อยึดติดได้ดี (ในกรณีของการดูแลผู้ป่วยที่เป็นโรคทางระบบประสาทเฉพาะ เช่น การดูแลผู้ป่วยพาร์กินสัน ควรเน้นกายภาพบำบัดสม่ำเสมอยิ่งขึ้นเพื่อลดปัญหาข้อยึดติดและกล้ามเนื้อลีบ)

3. สำลักขณะทานอาหารหรือกลืนลำบาก

หากผู้สูงอายุที่ติดเตียงมีอาการไอหรือสำลักบ่อยระหว่างรับประทานอาหาร หรือต้องใช้เวลานานผิดปกติในการเคี้ยวกลืน นั่นคือสัญญาณว่ากำลังเกิดปัญหา ภาวะกลืนลำบาก ซึ่งพบได้มากในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและผู้สูงอายุสมองเสื่อม ภาวะนี้ทำให้มีความเสี่ยงต่อการสำลักอาหารได้ง่าย และอาจนำไปสู่การเกิดปอดอักเสบติดเชื้อ เนื่องจากเศษอาหารหลุดเข้าไปในทางเดินหายใจหรือปอด

ลูกหลานควรระมัดระวังขณะป้อนอาหารอย่างใกล้ชิด หากผู้ป่วยมีอาการกลืนลำบาก ควรปรับท่าให้นั่งหัวสูงประมาณ 45-90 องศาขณะทานอาหาร ใช้หมอนหนุนช่วยพยุงตัว ปรับอาหารให้เหมาะสม เช่น บดให้อ่อนนุ่ม เคี้ยวง่าย (โจ๊กปั่นหรืออาหารเหลว) และป้อนอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน เมื่อผู้ป่วยกลืนควรก้มหน้าเล็กน้อย และหากเกิดการสำลักให้หยุดป้อนทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้อาหารเข้าไปในหลอดลม ทั้งนี้ภาวะกลืนลำบากสามารถป้องกันและบรรเทาได้หากเราจัดอาหารและท่าทางการรับประทานอย่างถูกวิธี

4. ระบบทางเดินหายใจมีปัญหา (ไอหรือหายใจผิดปกติ)

การนอนติดเตียงนานๆ ยังส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจของผู้สูงอายุด้วย หากสังเกตเห็นผู้ป่วยหายใจตื้น ไม่ค่อยหายใจลึก หรือมีอาการเหนื่อยง่ายเมื่อทำกิจกรรมเพียงเล็กน้อย รวมถึงมีเสมหะมาก ไอมีเสียงดังผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณว่าปอดกำลังมีปัญหา เช่น ภาวะปอดแฟบ (ปอดขยายตัวไม่เต็มที่) หรือการติดเชื้อในปอดอย่างปอดบวม ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้มักเกิดจากการที่ผู้สูงอายุนอนราบตลอดเวลา ทำให้การหายใจไม่ลึกและมีเสมหะคั่งค้าง หรือเกิดจากการสำลักอาหาร/น้ำลายเข้าไปในหลอดลมจนปอดเกิดการอักเสบติดเชื้อได้

ลูกหลานสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้โดยจัดท่าผู้สูงอายุให้นั่งตัวตรงขึ้นบ้างในช่วงกลางวัน เพื่อให้หายใจสะดวกและไอเอาเสมหะออกได้ง่ายขึ้น การเคาะปอดหรือดูดเสมหะเมื่อจำเป็นก็ช่วยป้องกันปอดติดเชื้อได้ นอกจากนี้ควรสังเกตอาการไข้และวัดระดับออกซิเจนในเลือดของผู้สูงวัยเป็นระยะ หากเริ่มมีไข้สูง ไอหนัก หรือหายใจเร็วผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

5. ภาวะซึมเศร้าหรือความสับสนทางจิตใจ

ผู้สูงอายุที่ต้องนอนอยู่กับเตียงตลอดเวลามักมีสุขภาพจิตใจย่ำแย่ลงอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก หลายท่านรู้สึกเบื่อหน่าย หดหู่ หรือหมดหวังจากการที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้เหมือนเดิม หากผู้ป่วยแสดงอาการ ซึมเศร้า ไม่พูดคุย สีหน้าหม่นหมอง ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง หรือบางรายอาจมีอาการสับสน จำคนในครอบครัวไม่ได้ พูดจาเพ้อไม่รู้เรื่อง นั่นเป็นสัญญาณเตือนถึงสุขภาพจิตที่กำลังถดถอยและต้องรีบได้รับการดูแล ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์พบได้บ่อยในผู้สูงอายุติดเตียง ผู้ดูแลจึงควรพยายามให้กำลังใจและช่วยกระตุ้นให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมทำกิจกรรมง่ายๆ ตามศักยภาพของเขา เช่น ชวนคุยเรื่องราวในอดีต เปิดเพลงโปรดให้ฟัง หรือหากิจกรรมผู้สูงอายุในบ้านหรือกิจกรรมสันทนาการผู้สูงอายุเล็กๆ น้อยๆ มาทำร่วมกันที่บ้าน เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายและมีคุณค่า กิจกรรมที่เหมาะสมอาจเป็น เกมฝึกสมองสำหรับผู้สูงวัย อย่างเกมจับคู่ภาพหรือเกมทายคำง่ายๆ ซึ่งเป็นเกมสำหรับผู้สูงอายุที่ช่วยฝึกความจำและสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดี ผู้ดูแลอาจจัดตารางกิจกรรมศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่สามารถทำที่บ้านได้ คล้ายกับกิจกรรมสันทนาการสำหรับผู้สูงอายุในศูนย์ดูแลที่มีตารางกำหนดไว้เป็นประจำ ทั้งนี้การที่ผู้สูงอายุได้ทำกิจกรรมที่ชอบและรู้สึกว่ามีคนอยู่เคียงข้างจะช่วยลดความรู้สึกซึมเศร้าได้อย่างมาก

นอกจากนี้ การส่งเสริมงานอดิเรกผู้สูงวัยที่ผู้ป่วยเคยชื่นชอบ เช่น การรดน้ำต้นไม้ ฟังเพลง หรืออ่านหนังสือ ก็ช่วยให้ผู้สูงวัยรู้สึกเพลิดเพลินและมีคุณค่ามากขึ้น หากภาวะซึมเศร้าของผู้สูงวัยรุนแรงหรือเกิดจากโรคสมองเสื่อม แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือพิจารณาส่งต่อเข้ารับการดูแลในศูนย์ดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ที่มีโปรแกรมเฉพาะในการดูแลผู้สูงอายุสมองเสื่อม เพื่อฟื้นฟูความจำและสภาวะจิตใจก็จะเป็นประโยชน์

ครอบครัวทำกิจกรรมกับผู้สูงอายุติดเตียงเพื่อผ่อนคลายความเครียด

6. การขับถ่ายผิดปกติหรือเสี่ยงติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

ระบบการขับถ่ายเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มักมีปัญหาในผู้สูงอายุติดเตียง หากพบว่าผู้สูงวัย ท้องผูก นานหลายวันหรือถ่ายอุจจาระลำบาก ต้องใช้ยาระบายช่วยบ่อยๆ แสดงว่าการเคลื่อนไหวของลำไส้ลดลงจนนำไปสู่อาการท้องผูกเรื้อรังได้ สาเหตุสำคัญมาจากการที่ผู้ป่วยเคลื่อนไหวน้อยและดื่มน้ำน้อยเกินไป ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลงและลำไส้ไม่บีบตัวมากพอ

ผู้ดูแลควรเฝ้าดูความถี่ในการขับถ่ายของผู้สูงวัย หากพบว่าไม่ถ่ายอุจจาระเกิน 2-3 วัน ควรเพิ่มอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผักและผลไม้ ให้ดื่มน้ำมากขึ้น หรืออาจต้องกระตุ้นการขับถ่ายด้วยการนวดท้องเบาๆ ในบางรายที่มีอาการรุนแรงอาจต้องใช้วิธี การสวนอุจจาระผู้สูงอายุ (enema) เพื่อช่วยระบาย ซึ่งควรทำโดยบุคลากรทางการแพทย์หรือภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น

นอกจากนี้ เรื่องการปัสสาวะก็ต้องใส่ใจไม่แพ้กัน ผู้สูงอายุติดเตียงจำนวนมากต้องใส่สายสวนปัสสาวะ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าการดูแลความสะอาดไม่ดี หากผู้ดูแลสังเกตว่าสายปัสสาวะหรือถุงปัสสาวะของผู้ป่วยมีปัสสาวะสีขุ่นข้น มีกลิ่นแรง หรือผู้สูงวัยบ่นแสบขัดเวลาถ่ายปัสสาวะ นั่นอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ควรรีบเปลี่ยนสายสวนใหม่และพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ทันที

การป้องกันคือหมั่นรักษาความสะอาดในการขับถ่ายทุกครั้ง เปลี่ยนสายสวนทุก 2-4 สัปดาห์ตามคำแนะนำของแพทย์ และดูแลสุขอนามัยอวัยวะเพศของผู้สูงวัยให้สะอาดอยู่เสมอ

สรุป

สัญญาณเตือนทั้ง 6 ข้อดังกล่าวเปรียบเสมือนหมุดหมายให้ผู้ดูแลทราบว่าผู้สูงอายุติดเตียงกำลังเริ่มมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาสุขภาพซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นแผลกดทับ, ข้อติดยึด, ปอดติดเชื้อ, หรือภาวะซึมเศร้า สิ่งสำคัญคือการหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ รอบเตียงของผู้สูงวัยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะได้รีบแก้ไขได้ทันการณ์

แม้แต่ผู้สูงอายุที่อยู่ระหว่างพักฟื้นหลังการผ่าตัดใหญ่ (ที่ยังต้องนอนติดเตียง) ก็จำเป็นต้องเฝ้าระวังสัญญาณเหล่านี้เช่นกัน ซึ่งการดูแลผู้สูงอายุหลังผ่าตัดที่ถูกต้องจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้ การดูแลอย่างใกล้ชิดและรอบด้าน เช่น จัดสิ่งแวดล้อมในห้องนอนให้สะอาดปลอดโปร่ง, กระตุ้นให้ทำกิจกรรมหรืองานอดิเรกผู้สูงวัยเท่าที่ไหว (เช่น กิจกรรมพัฒนาสมองผู้สูงอายุอย่างการเล่นเกมง่ายๆ หรือการออกกำลังเบาๆ), รักษาความสะอาดร่างกาย, และติดตามอาการร่วมกับแพทย์อย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้อย่างมาก หากครอบครัวไม่สามารถดูแลผู้สูงวัยติดเตียงได้ตลอดเวลาหรืออาการของผู้ป่วยซับซ้อนมากขึ้น การใช้บริการเนอร์สซิ่งโฮมสำหรับผู้ป่วยติดเตียงหรือศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่มีทีมแพทย์และพยาบาลเฉพาะทางก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้สูงวัยได้รับการดูแลฟื้นฟูอย่างเหมาะสม (เช่น มีโปรแกรมเฉพาะสำหรับการดูแลผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาตและผู้ป่วยพาร์กินสัน) ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้อาการทรุดลงซ้ำ และทำให้การฟื้นฟูสุขภาพดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น

 

facebook Mylucknursinghome Line Mylucknursinghome Line Mylucknursinghome

โทรหาเรา

ประชาอุทิศ 45: 080-8160115
พระราม 5 - ปิ่นเกล้า: 080-8165672
ฉุกเฉิน: 081-657-3328

อีเมลหาเรา

ที่อยู่

Myluck Nursing home (มายลักษณ์เนอร์สซิ่งโฮม)
สาขาประชาอุทิศ 45: 16 ซ.ประชาอุทิศ 45 ถ.ประชาอุทิศ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร 10140
สาขาพระราม 5 - ปิ่นเกล้า: 99/10 สินธราซอย 3 ต.บางสีทอง อ.บางกรวย นนทบุรี 11130
https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=euq6746d