ป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยติดเตียง เริ่มจากการดูแลสายสวนอย่างถูกวิธี

ป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยติดเตียง เริ่มจากการดูแลสายสวนอย่างถูกวิธี
ดูแลการสวนปัสสาวะผู้ป่วยติดเตียงอย่างปลอดภัย
การดูแลผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยที่ต้องนอนติดเตียงที่บ้านนั้นมีหลายเรื่องสำคัญที่ผู้ดูแลต้องใส่ใจ หนึ่งในนั้นคือการดูแลการขับถ่ายปัสสาวะของผู้ป่วยที่ไม่สามารถลุกไปห้องน้ำเองได้ การใช้สายสวนปัสสาวะ (Urinary Catheter) การสวนปัสสาวะผู้ป่วยติดเตียง จึงเป็นทางเลือกที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถระบายปัสสาวะได้สะดวก ลดความไม่สบายตัวและป้องกันปัญหาแทรกซ้อนเช่นผื่นผ้าอ้อมหรือแผลกดทับจากความชื้น อย่างไรก็ตาม การใช้สายสวนปัสสาวะเป็นเวลานานมีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะหากดูแลไม่ถูกวิธี บทความนี้จะอธิบายว่าการสวนปัสสาวะคืออะไร เหตุใดจึงจำเป็นสำหรับผู้ป่วยติดเตียง อธิบายความเสี่ยงของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะจากการสวนปัสสาวะ รวมถึงวิธีป้องกันการติดเชื้ออย่างละเอียด ตลอดจนข้อควรระวังและแนวทางการดูแลแบบมืออาชีพที่ครอบครัวสามารถทำได้ที่บ้าน เพื่อให้คนที่คุณรักได้รับการดูแลอย่างปลอดภัยและมีสุขอนามัยที่ดี
การสวนปัสสาวะคืออะไร และทำไมต้องใช้ในผู้ป่วยติดเตียง
การสวนปัสสาวะ คือการใส่สายยางเล็กๆ (ที่เรียกว่า สายสวนปัสสาวะ) ผ่านทางท่อปัสสาวะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะของผู้ป่วย เพื่อระบายปัสสาวะออกมาเก็บใน ถุงรองรับปัสสาวะ ภายนอกร่างกาย สายสวนปัสสาวะชนิดที่พบบ่อยคือ Foley catheter ซึ่งสามารถคาไว้ในกระเพาะปัสสาวะได้เป็นระยะเวลานาน โดยมีบอลลูนเล็กๆ ที่ปลายสายคอยตรึงไม่ให้สายหลุดออก สำหรับ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองได้น้อย การสวนปัสสาวะมีประโยชน์หลายประการ เช่น ช่วยให้ผู้ป่วยที่กลั้นปัสสาวะไม่ได้หรือไม่มีแรงลุกนั่งสามารถขับถ่ายปัสสาวะได้อย่างต่อเนื่อง ลดความเสี่ยงการเปียกชื้นบนที่นอนซึ่งอาจทำให้เกิดแผลกดทับหรือการติดเชื้อที่ผิวหนัง นอกจากนี้ในผู้ป่วยบางรายที่มีปัญหาทางเดินปัสสาวะอุดตัน หรือหลังผ่าตัดใหญ่ การคาสายสวนปัสสาวะอย่างต่อเนื่องยังช่วยให้แพทย์พยาบาลติดตามปริมาณปัสสาวะอย่างใกล้ชิดได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม การสวนปัสสาวะควรทำเฉพาะเมื่อมีความจำเป็นจริงๆ เท่านั้น สายสวนปัสสาวะ ที่คาไว้โดยไม่จำเป็นจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อและเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ผู้ดูแลควรปรึกษาแพทย์ถึงข้อบ่งชี้ในการใช้สายสวนเสมอ และเมื่ออาการของผู้ป่วยดีขึ้นจนไม่ต้องใช้สายสวนแล้ว ก็ควรเอาสายสวนออกโดยเร็วเพื่อลดระยะเวลาที่ผู้ป่วยต้องมีสายคาอยู่
ความเสี่ยงของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะจากการสวนปัสสาวะ
การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection – UTI) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่ต้องใส่สายสวนปัสสาวะเป็นเวลานาน เนื่องจากสายสวนที่ค้างอยู่ในร่างกายเป็นเวลานานจะกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค (เช่น แบคทีเรีย) ได้ง่ายกว่าปกติ เชื้อโรคสามารถเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะได้ตลอดเวลา ผ่านทาง:
- บริเวณรอบ ๆ รูเปิดท่อปัสสาวะ
- มือของผู้ดูแลที่สัมผัสกับสายสวนโดยตรง
- การปนเปื้อนระหว่างกระบวนการสวนปัสสาวะ
เมื่อเชื้อเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะและเพิ่มจำนวนมากขึ้น ก็อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะได้ ซึ่งอาการที่พบบ่อยของการติดเชื้อ ได้แก่
- ปัสสาวะขุ่น หรือมีกลิ่นเหม็นแรง
- ปัสสาวะแสบขัดขณะปัสสาวะ
- มีไข้ หนาวสั่น
- ปวดท้องน้อย
- ในผู้สูงอายุ อาจแสดงอาการสับสน ซึมลง หรือมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง
สำหรับผู้ป่วยที่มีสายสวนปัสสาวะคาอยู่ในร่างกาย อาการบางอย่างอาจสังเกตได้ยากกว่าปกติ เช่น อาจไม่รู้สึกเจ็บบริเวณทางเดินปัสสาวะ ผู้ดูแลจึงควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมและอาการผิดปกติของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดเสมอ
การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่ไม่ได้รับการรักษา อาจลุกลามไปยังกรวยไต (ทำให้เกิดภาวะไตอักเสบ) หรือแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะจากการสวนปัสสาวะสามารถป้องกันได้ หากมีการดูแลอย่างถูกต้องและเคร่งครัด โดยทุกขั้นตอนตั้งแต่การใส่สายสวน การดูแลระหว่างใช้งาน ไปจนถึงการถอดสายสวน จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความสะอาดและความปลอดเชื้อเสมอ ครอบครัวและผู้ดูแลสามารถลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้ หากปฏิบัติตามแนวทางที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ
วิธีป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะขณะใช้สายสวนปัสสาวะ
การป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ถือเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลผู้ป่วยที่มีสายสวนปัสสาวะที่บ้าน ผู้ดูแลควรปฏิบัติตามแนวทางดังต่อไปนี้อย่างสม่ำเสมอ:
1. รักษาความสะอาดและล้างมืออย่างเคร่งครัด
การรักษาความสะอาดคือวิธีพื้นฐานที่ได้ผลที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อ ก่อนและหลังที่ผู้ดูแลจะสัมผัสสายสวนปัสสาวะหรืออุปกรณ์ใดๆ ที่เกี่ยวข้อง ควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดให้ทั่วถึงอย่างน้อย 20 วินาที หรือใช้แอลกอฮอล์เจลล้างมือ แล้วจึงสวมถุงมือสะอาดทุกครั้งเมื่อจะต้องจับสายสวนหรือถุงปัสสาวะ การสวมถุงมือช่วยลดการนำเชื้อโรคจากมือผู้ดูแลสู่สายสวน ทั้งนี้ควรใช้ถุงมือที่ใหม่และสะอาดเสมอ และทิ้งถุงมือที่ใช้แล้วทันที นอกจากมือของผู้ดูแลที่ต้องสะอาดแล้ว บริเวณอวัยวะเพศและรอบๆ รูเปิดท่อปัสสาวะของผู้ป่วยก็ควรได้รับการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ วันละประมาณ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) หรืออย่างน้อย ทุกครั้งหลังผู้ป่วยขับถ่ายอุจจาระ การทำความสะอาดควรใช้น้ำสบู่อ่อนๆ กับน้ำสะอาด ชำระล้างบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและรอบๆ รูเปิดของท่อปัสสาวะอย่างเบามือ จากนั้นซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด การรักษาความสะอาดบริเวณนี้จะช่วยลดปริมาณเชื้อโรคที่อาจเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะผ่านสายสวน
2. การดูแลสายสวนปัสสาวะและถุงปัสสาวะอย่างถูกวิธี
การดูแลสายสวนปัสสาวะและระบบถุงรองรับปัสสาวะอย่างถูกต้องจะช่วยลดโอกาสที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ระบบปัสสาวะของผู้ป่วย ผู้ดูแลควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ทุกอย่างทำงานได้ดีและไม่มีการปนเปื้อน:
- รักษาระบบปิด: สายสวนปัสสาวะควรต่อเข้ากับถุงปัสสาวะเป็นระบบปิดตลอดเวลา ไม่ถอดหรือแยกสายออกจากถุงโดยไม่จำเป็น การเปิดวงจรสายสวนจะเพิ่มโอกาสให้เชื้อโรคภายนอกเล็ดลอดเข้าไปได้ ดังนั้นไม่ควรถอดสายสวนหรือเปลี่ยนถุงปัสสาวะบ่อยโดยไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ หากจำเป็นต้องเปลี่ยนถุงปัสสาวะหรือสายสวน (เช่น ในกรณีที่อุปกรณ์ชำรุด หรืออุดตัน) ควรปฏิบัติด้วยเทคนิคสะอาดหรือให้บุคลากรทางแพทย์เป็นผู้ดำเนินการ
- ตำแหน่งของถุงปัสสาวะ: จัดวางถุงปัสสาวะให้แขวนอยู่ข้างเตียงหรือขอบเตียง โดยให้ถุงอยู่ต่ำกว่าระดับกระเพาะปัสสาวะของผู้ป่วยเสมอ การรักษาระดับนี้จะป้องกันไม่ให้น้ำปัสสาวะไหลย้อนกลับเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเป็นสาเหตุของการติดเชื้อ นอกจากนี้ไม่ควรวางถุงปัสสาวะลงบนพื้นโดยตรง ควรให้ถุงอยู่เหนือพื้นเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนจากสิ่งสกปรก
- ตรวจสอบสายไม่ให้หักพับ: คอยตรวจสอบสายสวนปัสสาวะตลอดแนวจากตัวผู้ป่วยมาถึงถุง ว่าไม่มีส่วนใดบิดงอหรือหักพับที่จะขัดขวางการไหลของปัสสาวะ สายที่พับงออาจทำให้ปัสสาวะคั่งค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะและเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อ นอกจากนี้ควรระวังไม่ให้ผู้ป่วยนอนทับสายสวน หรือดึงสายสวนโดยไม่ตั้งใจ โดยการติดเทปหรือสายยึดเพื่อยึดสายสวนไว้กับต้นขาของผู้ป่วย ช่วยป้องกันไม่ให้สายสวนเคลื่อนหรือดึงรั้ง
- การทำความสะอาดและเปลี่ยนอุปกรณ์: ควรเช็ดทำความสะอาดท่อสายสวนและบริเวณจุดต่อกับถุงปัสสาวะเป็นครั้งคราวด้วยแอลกอฮอล์ 70% เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค (ระวังไม่ให้น้ำยาสัมผัสเข้าทางท่อปัสสาวะของผู้ป่วย) ส่วนถุงปัสสาวะนั้นควรเททิ้งและทำความสะอาดทุกวันหรือเมื่อสกปรก โดยใช้น้ำและน้ำยาฆ่าเชื้อเจือจางล้างภายในถุง แล้วล้างตามด้วยน้ำสะอาดก่อนนำกลับมาใช้ใหม่ หากเป็นถุงชนิดใช้ครั้งเดียวก็ควรเปลี่ยนตามที่แพทย์แนะนำ
- การเทปัสสาวะ: หมั่นเทปัสสาวะออกจากถุงรองรับปัสสาวะก่อนที่ถุงจะเต็มมากเกินไป ปกติแล้วควรเทเมื่อปัสสาวะในถุงมีประมาณ 2 ใน 3 ถึง 3 ใน 4 ของความจุถุง หรือทุก 3-4 ชั่วโมงตามความเหมาะสม การเทปัสสาวะให้ผู้ดูแลสวมถุงมือสะอาด เปิดจุกระบายที่ก้นถุงเหนือภาชนะรองรับ ระวังไม่ให้ปลายจุกสัมผัสกับภาชนะหรือพื้นผิวใดๆ เพื่อป้องกันการปนเปื้อน จากนั้นปิดจุกให้สนิทและเช็ดทำความสะอาดบริเวณจุกด้วยแอลกอฮอล์ ก่อนนำถุงกลับไปแขวนที่เดิม เมื่อเทเสร็จอย่าลืมล้างมือให้สะอาดอีกครั้ง
3. ดูแลสุขอนามัยและร่างกายผู้ป่วยโดยรวม
แม้จะมีการดูแลสายสวนที่ดี ก็ไม่ควรละเลยการดูแลสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยติดเตียงเพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานและลดความเสี่ยงการติดเชื้อ:
- ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอย่างเพียงพอ: หากไม่ขัดต่อคำแนะนำของแพทย์ การให้ผู้ป่วยดื่มน้ำบ่อยๆ ตลอดวันจะช่วยเจือจางปัสสาวะและชะล้างเชื้อโรคออกจากกระเพาะปัสสาวะ ลดโอกาสที่เชื้อจะสะสมจนก่อให้เกิดการติดเชื้อ (ยกเว้นกรณีที่แพทย์จำกัดน้ำดื่มเนื่องจากภาวะหัวใจหรือไต)
- รักษาความสะอาดร่างกายและสิ่งแวดล้อม: อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายผู้ป่วยเป็นประจำ เปลี่ยนผ้าปูที่นอนและเสื้อผ้าที่เปื้อนปัสสาวะทันทีเพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรีย นอกจากนี้ห้องที่ผู้ป่วยพักควรมีการระบายอากาศที่ดี และหลีกเลี่ยงความอับชื้นซึ่งเป็นสภาพที่เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ง่าย
- สังเกตอาการผิดปกติ: ผู้ดูแลควรหมั่นตรวจสอบสี กลิ่น และปริมาณปัสสาวะในถุงอยู่เสมอ หากพบว่าปัสสาวะมีสีขุ่นผิดปกติ มีกลิ่นเหม็นแรง มีเลือดปน หรือผู้ป่วยมีไข้ ปวดท้อง อ่อนเพลียผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อได้ การพบความผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้รักษาได้ทันเวลาและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น
ข้อควรระวังที่สำคัญเมื่อดูแลผู้ป่วยที่มีสายสวนปัสสาวะ
ในการดูแลผู้ป่วยที่คาสายสวนปัสสาวะ มีข้อควรระวังบางประการที่ผู้ดูแลจำเป็นต้องทราบเพื่อป้องกันปัญหา:
- ไม่ใช้สารแปลกปลอมโดยไม่ปรึกษาแพทย์: ห้ามเติมน้ำยาฆ่าเชื้อ สารฟอกขาว หรือยาปฏิชีวนะใดๆ ลงไปในถุงปัสสาวะหรือท่อสายสวนโดยพลการ การกระทำดังกล่าวไม่ช่วยป้องกันการติดเชื้อ มิหนำซ้ำอาจทำให้เชื้อดื้อยาหรือทำให้เนื้อเยื่อระคายเคืองได้
- ไม่ใช้แรงดึงหรือกดที่สายสวน: ระมัดระวังไม่ดึงสายสวนอย่างแรงขณะเคลื่อนย้ายตัวผู้ป่วยหรือเปลี่ยนท่า เพราะอาจทำให้ผู้ป่วยเจ็บหรือสายหลุดออกได้ ควรจัดตำแหน่งสายให้เรียบร้อยก่อนจะยกเคลื่อนตัวผู้ป่วยทุกครั้ง หากต้องย้ายผู้ป่วยไปนั่งรถเข็นหรือเตียงอื่น ให้จับถุงปัสสาวะถือไว้ต่ำกว่าตัวผู้ป่วยเสมอ หรือล็อคกิ๊บสายสวน (clamp) ชั่วคราวเพื่อป้องกันน้ำปัสสาวะย้อน (อย่าลืมปลดกิ๊บหลังจัดท่าผู้ป่วยเรียบร้อยแล้ว)
- หลีกเลี่ยงการใช้สายสวนระยะยาวโดยไม่จำเป็น: ดังที่กล่าวไว้ การมีสายสวนคาไว้นานๆ จะเพิ่มโอกาสติดเชื้อทางเดินปัสสาวะสูงขึ้นทุกวัน หากเป็นไปได้ควรสอบถามแพทย์เป็นระยะถึงความจำเป็นในการคาสายสวน ผู้ป่วยบางรายเมื่ออาการดีขึ้นอาจเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นแทน เช่น การฝึกขับถ่ายด้วยตัวเอง การใช้ผ้าอ้อมผู้ใหญ่หรือกระโถน หรือการสวนปัสสาวะแบบเป็นครั้งคราว (intermittent catheterization) ซึ่งมีความเสี่ยงติดเชื้อน้อยกว่า ทั้งนี้ควรอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์
- ให้ผู้เชี่ยวชาญดำเนินการในขั้นตอนสำคัญ: การเปลี่ยนสายสวนปัสสาวะใหม่หรือการถอดสายสวน ควรให้พยาบาลหรือบุคลากรทางการแพทย์เป็นผู้ทำ เพราะต้องทำด้วยเทคนิคปลอดเชื้ออย่างเคร่งครัด ในกรณีที่จำเป็นต้องเปลี่ยนถุงปัสสาวะหรือสายสวนเองที่บ้าน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของบุคลากรทางการแพทย์อย่างเคร่งครัด และเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างให้สะอาดพร้อม เช่น ถุงมือปลอดเชื้อ สายสวนหรือถุงใหม่ที่ผ่านการฆ่าเชื้อ เป็นต้น
แนวทางการดูแลแบบมืออาชีพที่ครอบครัวสามารถทำได้ที่บ้าน
แม้ว่าการดูแลผู้ป่วยคาสายสวนปัสสาวะจะดูเป็นเรื่องเฉพาะทางทางการแพทย์ แต่แท้จริงแล้วผู้ดูแลในครอบครัวสามารถปฏิบัติตามการดูแลสายสวนปัสสาวะอย่างมืออาชีพได้ที่บ้าน หากมีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนี้:
- ศึกษาและขอคำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์: ก่อนที่ผู้ป่วยจะกลับมาดูแลต่อที่บ้าน ควรให้พยาบาลสอนขั้นตอนการดูแลสายสวน การทำความสะอาด และการสังเกตอาการต่างๆ อย่างละเอียด ผู้ดูแลควรถามคำถามจนเข้าใจและขอคำแนะนำเป็นลายลักษณ์อักษร (เช่น ใบคำแนะนำการดูแล) เพื่อนำมาอ้างอิงเมื่อต้องดูแลเอง
- สร้างตารางการดูแลประจำวัน: การมีตารางเวลาชัดเจนจะช่วยให้ไม่ลืมขั้นตอนสำคัญ เช่น กำหนดเวลาในการทำความสะอาดรอบรูเปิดท่อปัสสาวะ (เช้าและก่อนนอน), เวลาในการเทปัสสาวะออกจากถุง (เช่น ทุก 3-4 ชั่วโมง), และเวลาตรวจสอบอาการผู้ป่วยในแต่ละวัน การทำตามตารางอย่างสม่ำเสมอจะทำให้การดูแลมีประสิทธิภาพเหมือนอยู่ในโรงพยาบาล
- รักษาความสะอาดของอุปกรณ์และสิ่งแวดล้อม: จัดเตรียมมุมสำหรับเก็บอุปกรณ์เกี่ยวกับการสวนปัสสาวะให้สะอาดเป็นระเบียบ มีภาชนะสำหรับทิ้งปัสสาวะและถุงขยะสำหรับทิ้งวัสดุที่ใช้แล้วแยกต่างหาก ชำระล้างอุปกรณ์ตามที่ได้แนะนำ และหมั่นทำความสะอาดพื้นห้องนอนและเตียงของผู้ป่วยเพื่อกำจัดเชื้อโรคสะสม
- สื่อสารกับผู้ป่วยด้วยความเข้าใจ: บางครั้งผู้สูงอายุอาจรู้สึกไม่สบายตัวหรือกังวลจากการมีสายสวน ผู้ดูแลควรอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงความจำเป็นของสายสวน และแจ้งทุกครั้งก่อนจะทำการใดๆ เช่น “จะขอทำความสะอาดสายสวนให้นะครับ/คะ” เพื่อให้ผู้ป่วยรู้ตัวและให้ความร่วมมือ การดูแลด้วยความนุ่มนวลและเคารพจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจเหมือนได้รับการดูแลจากมืออาชีพ
- อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือ: หากผู้ดูแลพบปัญหาที่เกินความสามารถ เช่น สายสวนหลุดหรืออุดตัน, ผู้ป่วยมีอาการผิดปกติรุนแรง, หรือไม่แน่ใจว่าดูแลถูกต้องหรือไม่ ควรติดต่อบุคลากรทางการแพทย์หรือพาผู้ป่วยพบแพทย์ทันที การขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และช่วยป้องกันไม่ให้สถานการณ์แย่ลง
สรุป
การสวนปัสสาวะผู้ป่วยติดเตียง เป็นหัตถการที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการดูแลผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวไม่ได้ แต่ก็ต้องแลกมากับความเสี่ยงเรื่อง การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ หากดูแลไม่เหมาะสม อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงนี้สามารถลดลงอย่างมากด้วยการดูแลที่ถูกวิธีและสม่ำเสมอตามหลักการที่ได้กล่าวมา ทั้งการรักษาความสะอาด การดูแลสายสวนและถุงปัสสาวะอย่างถูกต้อง ตลอดจนการสังเกตอาการและระมัดระวังในทุกขั้นตอน ความใส่ใจของลูกหลานและผู้ดูแลเปรียบเสมือนยาป้องกันชั้นดีที่ทำให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากการติดเชื้อ มีสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สุดท้ายนี้ หากท่านผู้ดูแลต้องการคำปรึกษาหรือความช่วยเหลือเพิ่มเติมในการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยติดเตียงที่บ้าน สามารถติดต่อ MyLuck Nursing Home ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุของเราได้ตลอดเวลา เราพร้อมให้คำแนะนำโดยพยาบาลวิชาชีพและทีมผู้ดูแลมากประสบการณ์ ด้วยความสุภาพ อบอุ่น และใส่ใจเสมือนคนในครอบครัวของท่าน
บทความที่คุณอาจสนใจ

เนอร์สซิ่งโฮม (Nursing Home) คือ อะไร ?

การเลือกศูนย์ดูแลผู้ป่วยและศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่ดี ต้องดูอะไรบ้าง

4 โรคร้ายที่ต้องระวังในผู้สูงอายุ

โรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุหลงๆลืมๆ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา

สารอาหารที่จำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ
