การดูแลผู้ป่วยเจาะคอ ไม่ยากเลย! คู่มือสำหรับผู้ดูแลมือใหม่

ทำความเข้าใจก่อนเริ่มดูแล: ผู้ป่วยเจาะคอคือใคร?
ผู้ป่วยเจาะคอ (Tracheostomy Patient) คือผู้ที่ต้องการช่วยในการหายใจด้วยท่อที่เจาะบริเวณลำคอเข้าหลอดลมโดยตรง ซึ่งมักเกิดจากสาเหตุ เช่น โรคหลอดลมตีบ การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ หรือภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง ทำให้ไม่สามารถหายใจเองได้อย่างเพียงพอ
การดูแลผู้ป่วยเจาะคอไม่ใช่เพียงแค่การเฝ้าระวัง แต่ต้องอาศัย ความเข้าใจ การมีวินัย และการเรียนรู้ อย่างถูกต้อง เพื่อให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างปลอดภัย
แนวทางการดูแลผู้ป่วยเจาะคอสำหรับผู้ดูแลมือใหม่
การดูแลผู้ป่วยที่มีท่อเจาะคอ จำเป็นต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ เนื่องจากท่อที่เจาะที่คอ (tracheostomy) เป็นทางเดินหายใจสำรองที่ต้องรักษาความสะอาดและความปลอดภัยอยู่เสมอ ผู้ดูแลมือใหม่ควรเรียนรู้ขั้นตอนพื้นฐานในการทำความสะอาดแผลเจาะคอ การดูแลท่อหลอดลมคอชั้นใน ตลอดจนข้อควรระวังต่าง ๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อน รวมถึงทราบอาการผิดปกติที่ต้องรีบปรึกษาแพทย์ บทความนี้สรุปสาระสำคัญเป็นหัวข้อต่าง ๆ พร้อมคำอธิบายสั้น ๆ เพื่อให้เข้าใจง่ายและนำไปใช้ดูแลผู้ป่วยได้อย่างมั่นใจ
1. อุปกรณ์ที่จำเป็นในการดูแลผู้ป่วยเจาะคอ
- ชุดดูแลแผลปลอดเชื้อ (Sterile dressing set)
- น้ำเกลือ 0.9% สำหรับทำความสะอาด
- ผ้าก๊อซปลอดเชื้อ และคอตตอนบัด
- ท่อสำรองและชุดเปลี่ยนท่อเจาะคอ
- ถุงมือสะอาดและถังขยะติดเชื้อ
*ควรศึกษาและฝึกซ้อมการเปลี่ยนผ้าพันรอบท่อ การดูแลรอยแผล และการสังเกตอาการแทรกซ้อน*
2. ขั้นตอนการทำความสะอาดแผลเจาะคอ
การทำความสะอาดแผลเจาะคอ (stoma) ควรทำเป็นกิจวัตรอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น) หรือเมื่อเห็นว่าแผลสกปรกชื้น ขั้นตอนหลักในการทำแผลเจาะคอมีดังนี้:
- ล้างมือให้สะอาด: ก่อนจะสัมผัสแผลหรืออุปกรณ์ใด ๆ ผู้ดูแลต้องล้างมือด้วยน้ำสบู่หรือแอลกอฮอล์เจลให้สะอาด ลดความเสี่ยงนำเชื้อโรคเข้าสู่แผล
- เตรียมอุปกรณ์และเปิดแผล: แกะพลาสเตอร์และผ้าก๊อซที่ปิดแผลเดิมออกอย่างระมัดระวัง จากนั้นใช้สำลีก้านปลอดเชื้อชุบน้ำเกลือ (Normal saline) พอหมาดเตรียมไว้สำหรับเช็ดทำความสะอาดแผล
- เช็ดทำความสะอาดรอบ ๆ แผลเจาะคอ: ใช้สำลีก้านชุบน้ำเกลือเช็ดเบา ๆ รอบปากท่อเจาะคอและผิวหนังบริเวณแผล โดยเปลี่ยนสำลีก้านใหม่ทุกครั้งที่เช็ดแต่ละจุด (เช่น ก้านแรกเช็ดรอบปากท่อด้านใน, ก้านที่สองเช็ดรอบท่อด้านนอก, ก้านที่สามเช็ดผิวหนังใต้ท่อ) จนกว่าสิ่งสกปรกและคราบเสมหะรอบ ๆ แผลจะสะอาดหมด
- ซับแผลให้แห้งและปูผ้าก๊อซใหม่: หากมีน้ำเกลือหรือน้ำชุ่มอยู่ ให้ใช้ผ้าก๊อซสะอาดซับรอบ ๆ แผลให้แห้งสนิท จากนั้นพับผ้าก๊อซสะอาดเป็นชั้นหนาพอควร สอดรองใต้แผ่นแป้นท่อเจาะคอบริเวณคอของผู้ป่วย เพื่อซับสิ่งหลั่งและป้องกันไม่ให้ขอบพลาสติกของแป้นท่อเสียดสีถูกกับผิวหนังโดยตรง
- ปิดพลาสเตอร์ยึดผ้าก๊อซ: ใช้พลาสเตอร์สะอาดติดยึดผ้าก๊อซที่รองแผลไว้กับผิวหนังให้แน่นพอสมควร เพื่อไม่ให้ผ้าก๊อซหรือท่อขยับเขยื้อนหลุดง่าย แต่ระวังอย่าติดแน่นจนดึงผิวหนังผู้ป่วยเจ็บเมื่อต้องแกะออกเปลี่ยนครั้งต่อไป
- เปลี่ยนสายหรือเชือกผูกยึดท่อหากสกปรก: ตรวจสอบสายผูกยึดท่อเจาะคอ (tracheostomy ties) ที่คล้องอยู่รอบคอผู้ป่วยว่ามีคราบสกปรกหรือเปียกชื้นหรือไม่ ถ้าใช่ควรเปลี่ยนสายผูกเส้นใหม่ที่สะอาดทันที นอกจากนี้ควรเช็คความแน่นของสายผูกให้อยู่ในระดับพอดี (สอดนิ้วได้ 1 นิ้วระหว่างสายกับคอ) ไม่หลวมจนท่ออาจเลื่อนหลุด แต่ก็ไม่แน่นจนกดรัดผิวหนังผู้ป่วย
เมื่อทำแผลและเปลี่ยนผ้าก๊อซเรียบร้อยแล้ว ควรสังเกตลักษณะแผลว่าปกติดีหรือไม่ แผลควรแดงชมพูแห้งสะอาด ไม่มี อาการบวม แดง หรือมีหนอง หากพบความผิดปกติควรรายงานพยาบาลหรือแพทย์ทันที
3. การทำความสะอาดท่อหลอดลมคอชั้นใน (Inner Cannula)
ท่อเจาะคอมักเป็นท่อสองชั้น โดยมี ท่อชั้นนอก อยู่ติดกับคอผู้ป่วยตลอดเวลา และ ท่อชั้นใน (inner cannula) ที่ถอดออกมาทำความสะอาดได้ การดูแลท่อชั้นในมีความสำคัญมาก เพราะคราบเสมหะที่เกาะสะสมจะทำให้ท่อตันและผู้ป่วยหายใจลำบากได้ ดังนั้นผู้ดูแลควรถอดล้างท่อชั้นในวันละอย่างน้อย 2 ครั้ง (เช้าและก่อนนอน) เป็นประจำ หากผู้ป่วยมีเสมหะมากอาจต้องล้างบ่อยขึ้น (เช้า–กลางวัน–เย็น) การทำความสะอาดควรทำด้วยความสะอาดและระมัดระวัง โดยขั้นตอนจะแตกต่างเล็กน้อยขึ้นกับชนิดของท่อ ดังนี้:
- กรณีท่อชั้นในแบบโลหะ: ถือเป็นท่อที่ทนความร้อนได้ ผู้ดูแลสามารถทำความสะอาดได้ล้ำลึกกว่า ขั้นตอนคือ ถอดท่อชั้นในออกมาแล้วล้างน้ำผ่านท่อหลาย ๆ ครั้ง ใต้น้ำก๊อกเพื่อล้างคราบเสมหะออกก่อน ถ้าเห็นว่ามีเสมหะเหนียวติดแน่นมาก ให้นำท่อไปแช่ในสารละลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ผสมน้ำในอัตราส่วน 1:1 สักครู่จนคราบเสมหะอ่อนตัวเป็นฟองสีขาว จากนั้นล้างขัดท่อทั้งด้านนอกและด้านในด้วยน้ำสบู่กับน้ำประปาสะอาด ใช้ฟองน้ำหรือผ้านุ่มถูคราบเสมหะด้านนอก และใช้แปรงเล็กหรือสำลีก้านขนนุ่มแทงเข้าไปขัดคราบด้านในท่อจนหมดจด เมื่อสะอาดดีแล้วให้ต้มท่อชั้นในในน้ำเดือดนานประมาณ 15 นาที เพื่อฆ่าเชื้อโรค ยกขึ้นพักในภาชนะปลอดเชื้อรอจนเย็นแล้วจึงนำกลับมาใส่คืนให้ผู้ป่วย
- กรณีท่อชั้นในแบบพลาสติก: เป็นท่อที่ ไม่ควรต้มในน้ำเดือด เพราะความร้อนสูงจะทำให้พลาสติกเสื่อมสภาพหรือบิดงอได้ ขั้นตอนการทำความสะอาดคือ ถอดท่อชั้นในออกมาล้างน้ำผ่านใต้น้ำก๊อกหลาย ๆ ครั้ง เช่นเดียวกับท่อโลหะ จากนั้นล้างด้วยน้ำสบู่และน้ำสะอาด ถูคราบสกปรกด้านนอกและใช้แปรงหรือสำลีก้านขัดด้านในเช่นเดียวกันจนสะอาดหมดจด เมื่อล้างด้วยสบู่จนทั่วแล้ว ให้นำท่อไปแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ผสมน้ำเกลือ 0.9% อัตราส่วน 1:1 นาน 15-30 นาที เพื่อฆ่าเชื้อโรคและคราบเสมหะที่อาจหลงเหลืออยู่ จากนั้นนำขึ้นมาล้างน้ำต้มสุกที่เย็นแล้วให้สะอาด ก่อนนำกลับมาใช้ใหม่
คำแนะนำ: หลังทำความสะอาดท่อชั้นในเสร็จ ควรรีบใส่กลับเข้าที่ทันที ไม่ปล่อยทิ้งไว้นาน เพราะหากท่อชั้นในยังไม่ใส่กลับ ท่อชั้นนอกที่คาอยู่อาจมีเสมหะใหม่มาอุดตันได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ก่อนใส่ท่อชั้นในกลับเข้าที่ ทุกครั้ง ควรดูดเสมหะในท่อและหลอดลมของผู้ป่วยให้โล่งเสียก่อนเพื่อป้องกันท่ออุดตันทันทีหลังใส่ (และลดโอกาสไอจนท่อเด้งหลุด) หากเป็นไปได้ ควรมีท่อชั้นในสำรอง 2 ชุด เพื่อสลับกันใช้: ขณะที่ชุดหนึ่งกำลังทำความสะอาดหรือฆ่าเชื้ออยู่ จะได้ใส่อีกชุดที่สะอาดแทนไปก่อนเพื่อให้ผู้ป่วยมีทางหายใจที่โล่งอยู่เสมอ
4. ข้อควรระวังที่สำคัญในการดูแลผู้ป่วยเจาะคอ
นอกจากการรักษาความสะอาดแล้ว ผู้ดูแลควรปฏิบัติตาม ข้อควรระวังต่อไปนี้ เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น:
- ระวังอย่าให้น้ำเข้าท่อเจาะคอ: ขณะอาบน้ำควรป้องกันน้ำไม่ให้เข้าช่องท่อที่คอ ห้ามใช้ฝักบัวราดน้ำแรงใส่โดยตรง และไม่ปล่อยให้ผู้ป่วยอยู่ลำพังระหว่างอาบน้ำ ผู้ดูแลควรใช้วิธีอาบน้ำแบบใช้ฝักบัวมือถืออย่างระมัดระวังโดยให้น้ำไหลจากด้านหลังหรือใช้ฟองน้ำชุบน้ำเช็ดตัวแทนบริเวณใกล้คอ หากเป็นไปได้การอาบน้ำในอ่างอาบน้ำจะควบคุมทิศทางน้ำได้ดีกว่า หลังอาบน้ำเสร็จควรเช็ดรอบ ๆ แผลให้แห้งทันที และใช้เครื่องดูดเสมหะช่วยดูดน้ำหรือความชื้นที่อาจเล็ดลอดเข้าท่อออกทันที
- หลีกเลี่ยงการให้สิ่งแปลกปลอมเข้าท่อ: ไม่ควรใช้แป้งฝุ่นโรยที่คอหรือแผลเจาะคอ เพราะผงแป้งอาจปลิวหลุดลงไปอุดท่อหรือเข้าสู่ปอดได้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงฝุ่น ควันบุหรี่ หรือสิ่งระคายเคืองในอากาศใกล้ตัวผู้ป่วย หากต้องการทาโลชั่นหรือยาที่คอ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรถึงชนิดที่เหมาะสมและวิธีใช้ที่ปลอดภัย
- หลีกเลี่ยงการติดเชื้อทางเดินหายใจ: ผู้ป่วยเจาะคอมีโอกาสติดเชื้อง่าย ควรเลี่ยงการคลุกคลีกับคนที่เป็นหวัดหรืออยู่ในที่ชุมชนแออัด เพราะเชื้อโรคในอากาศอาจเข้าสู่ท่อและปอดผู้ป่วยได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ในช่วงที่มีโรคระบาดหรือฝุ่นละอองมาก ควรให้ผู้ป่วยสวมหน้ากากอนามัยชนิดพิเศษหรือใช้ผ้าบางสะอาดปิดคลุมบริเวณคอเหนือท่อเจาะคอไว้ตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ เพื่อกรองอากาศที่เข้าสู่ท่อและป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้าไป
- ระวังไม่ให้ท่อหลุดหรืออุดตัน: ตรวจสอบความเรียบร้อยของสายผูกยึดท่อว่ายังมัดแน่นดีอยู่หรือไม่ทุกวัน (โดยเฉพาะหลังเปลี่ยนสายใหม่) เพื่อป้องกันท่อเลื่อนหลุด นอกจากนี้ควรหมั่นสังเกตว่าผู้ป่วยหายใจสะดวกดีหรือไม่ มีเสียงครืดคราดจากเสมหะอุดตันในท่อหรือเปล่า หากได้ยินเสียงหรือผู้ป่วยไอมีเสมหะมากควรช่วยดูดเสมหะหรือถอดล้างท่อชั้นในทันที อย่าปล่อยให้ท่อตันจนผู้ป่วยหายใจไม่ออก
5. อาการผิดปกติที่ควรรีบพบแพทย์
ผู้ดูแลควรเฝ้าสังเกตอาการของผู้ป่วยอยู่เสมอ หากพบ อาการหรือเหตุการณ์ต่อไปนี้ ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์หรือโทรปรึกษาแพทย์ทันที เนื่องจากอาจเป็นภาวะฉุกเฉินหรือการติดเชื้อรุนแรง:
- ท่อหลุดออกจากคอทั้งหมด: หากท่อเจาะคอหลุดออกมาทั้งชิ้น (ทั้งท่อชั้นนอกและชั้นใน) ให้รีบนำผู้ป่วยไปโรงพยาบาลทันที เพื่อให้แพทย์ใส่ท่อกลับเข้าไปใหม่ โดยอย่าพยายามใส่ท่อเองหากไม่มั่นใจ เพราะรูเจาะที่คออาจปิดหดตัวอย่างรวดเร็วภายในเวลาสั้น ๆ การปล่อยทิ้งไว้นานจะทำให้ต้องผ่าตัดเจาะคอใหม่อีกครั้ง
- ท่อชั้นในสูญหายหรือใส่กลับเข้าไปไม่ได้: กรณีถอดท่อชั้นในออกมาล้างแล้วทำหล่นหาย หรือท่อบิดงอเสียรูปจนใส่กลับไม่ได้ ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อรับท่อใหม่หรือขอคำแนะนำแก้ไข อย่าปล่อยให้ผู้ป่วยมีแต่ท่อชั้นนอกโดยไม่มีท่อชั้นในนาน ๆ เพราะเสมหะอาจอุดตันง่ายขึ้น
- ผู้ป่วยหายใจลำบากหรือหอบเหนื่อยผิดปกติ: หากผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจเร็ว หรือหายใจลำบาก (เช่น ซี่โครงบุ๋ม จมูกบาน) แม้ผู้ดูแลจะได้ทำการดูดเสมหะและล้างท่อชั้นในอย่างถูกวิธีแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น ให้สงสัยว่าท่ออาจอุดตันลึกหรือผู้ป่วยอาจมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ควรพาไปพบแพทย์โดยเร็ว
- มีอาการติดเชื้อที่แผลเจาะคอ: สังเกตอาการไข้และลักษณะแผล หากผู้ป่วย มีไข้สูง หนาวสั่น แผลเจาะคอบวมแดง หรือมีหนองไหลออกมาจากรูแผล แสดงว่าแผลอาจติดเชื้อรุนแรง ควรพาผู้ป่วยพบแพทย์เพื่อรับยาปฏิชีวนะหรือการรักษาที่เหมาะสมโดยด่วน
- มีเลือดออกผิดปกติที่ท่อหรือแผลเจาะคอ: หากเห็นเลือดสด ๆ ไหลออกมาจากท่อเจาะคอหรือมีเลือดซึมจากผิวหนังรอบ ๆ แผล ไม่ว่าจะปริมาณมากหรือน้อย ควรปรึกษาแพทย์ทันที เพราะอาจเกิดการบาดเจ็บหรือหลอดเลือดได้รับการกระทบกระเทือนขณะดูดเสมหะหรือเปลี่ยนท่อ ถ้ามีเลือดออกมากให้รีบเรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน
- มีอาการติดเชื้อในหลอดลมหรือปอด: สัญญาณเช่น ไอมากขึ้น ไอมีเสมหะข้นเหนียวสีเขียวหรือเหลืองมีกลิ่นเหม็น ร่วมกับมีไข้สูง บ่งบอกว่าผู้ป่วยอาจติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง (เช่น ปอดอักเสบ) ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาและให้ยาปฏิชีวนะโดยเร็ว
การดูแลผู้ป่วยเจาะคอให้อยู่ในภาวะปลอดภัยนั้น ผู้ดูแลมือใหม่ควรใส่ใจทั้งในเรื่องความสะอาดของแผลและท่อ การทำความสะอาดท่อชั้นในอย่างถูกวิธี หมั่นระวังไม่ให้น้ำหรือสิ่งสกปรกเข้าไป และสังเกตอาการผิดปกติต่าง ๆ ของผู้ป่วยอยู่เสมอ เมื่อปฏิบัติตามขั้นตอนและคำแนะนำข้างต้นอย่างเคร่งครัด ก็จะช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อน ทำให้ผู้ป่วยเจาะคอได้รับการดูแลอย่างปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกๆ วัน
การป้องกันภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยเจาะคอ: ความรู้ที่ผู้ดูแลต้องมี
1. การติดเชื้อที่ปากท่อ
ลักษณะอาการ: ผิวหนังบริเวณรอบท่อแดง บวม มีหนอง หรือมีกลิ่นผิดปกติ อาจมีไข้ร่วมด้วย
การป้องกัน:
- ทำความสะอาดบริเวณปากท่อทุกวัน ด้วยน้ำเกลือปลอดเชื้อและผ้าก๊อซ
- เปลี่ยนผ้าก๊อซทันทีเมื่อเปียกหรือมีคราบ
- ห้ามสัมผัสแผลด้วยมือเปล่า ควรล้างมือและสวมถุงมือสะอาดทุกครั้งก่อนดูแล
- หลีกเลี่ยงการให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อับชื้นหรือมีฝุ่น
การสังเกต: หากมีอาการแดงรอบแผล บวมร้อน เจ็บ หรือมีไข้เฉียบพลัน ให้รีบพบแพทย์
2. เลือดออกจากท่อเจาะคอ
ลักษณะอาการ: มีเลือดไหลซึมจากปากท่อ หรือไอออกมาเป็นเลือด
การป้องกัน:
- หลีกเลี่ยงแรงกดหรือการเคลื่อนไหวรุนแรงบริเวณท่อ
- ห้ามใช้ของแข็งเขี่ยหรือกระแทกท่อเจาะคอ
- ดูแลให้ท่อติดแน่นพอดี ไม่แน่นหรือหลวมเกินไป
- หลีกเลี่ยงการไอแรง ๆ หรือพูดเสียงดังหลังเปลี่ยนผ้าก๊อซใหม่
การสังเกต: หากมีเลือดออกปริมาณมาก หรือเลือดสด ควรรีบพบแพทย์ทันที
3. ท่อหลุดหรือเคลื่อน
ลักษณะอาการ: ท่อเจาะคอเลื่อนหลุดจากตำแหน่งเดิม ทำให้หายใจติดขัด
การป้องกัน:
- ยึดท่อให้มั่นคงด้วยพลาสเตอร์และสายรัดคอ
- ตรวจสอบตำแหน่งของท่อทุกวัน
- ห้ามดึงหรือหมุนท่อบ่อย ๆ
- อย่าให้ผู้ป่วยนอนหนุนหมอนสูงเกินไป
การสังเกต: หากท่อขยับหลุดหรือผู้ป่วยมีอาการหายใจไม่สะดวก ควรแจ้งบุคลากรทางแพทย์ทันที และอย่าพยายามใส่ท่อกลับเองโดยไม่มีความชำนาญ
4. เสมหะอุดตัน
ลักษณะอาการ: หายใจเสียงดังคล้ายเสมหะในลำคอ หายใจติดขัด หน้าแดง หรือไม่สามารถพูดออกเสียงได้
การป้องกัน:
- ดูดเสมหะอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารหรือเมื่อลมหายใจผิดปกติ
- กระตุ้นให้ผู้ป่วยไอบ่อย ๆ ถ้าสามารถ
- ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมาก ๆ หากไม่มีข้อห้าม และควรให้อาหารเหลวเพื่อป้องกันเสมหะเหนียว
- ตรวจสอบท่อว่ามีสิ่งอุดตันหรือไม่เป็นประจำ
การสังเกต: หากมีเสียงเสมหะมาก หายใจลำบาก หรือหน้าซีดเขียว รีบดูดเสมหะทันที และหากไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์
การสื่อสารกับผู้ป่วยเจาะคอ: ทำอย่างไรเมื่อเขาพูดไม่ได้?
ผู้ป่วยเจาะคอมัก ไม่สามารถเปล่งเสียงได้ เนื่องจากลมหายใจผ่านท่อเจาะคอโดยตรง ทำให้ไม่สามารถผ่านกล่องเสียงตามปกติได้ จึงเป็นหน้าที่ของผู้ดูแลที่จะต้องเตรียม เครื่องมือและวิธีการสื่อสารทางเลือก เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถแสดงความต้องการ ความรู้สึก หรือขอความช่วยเหลือได้อย่างเข้าใจ ซึ่งวิธีการที่ใช้ได้ผลมีดังนี้:
1. กระดานคำศัพท์หรือกระดานตัวอักษร
ใช้ กระดานคำพื้นฐาน เช่น “หิว”, “ปวด”, “หนาว”, “ร้อน”, “อยากนอน”, “ไม่สบาย” หรือกระดานที่มีตัวอักษร A-Z เพื่อให้ผู้ป่วยสะกิดหรือชี้บอกทีละตัว ผู้ดูแลควรฝึกใช้บ่อย ๆ เพื่อช่วยให้การสื่อสารคล่องขึ้น
2. ใช้ท่าทางและภาษากาย
จับตามอง การพยักหน้า, ส่ายหน้า, ชี้นิ้ว, หรือทำมือเป็นสัญลักษณ์ เช่น การจับมือแน่นเมื่อเจ็บ หรือยกนิ้วชี้ขึ้นเมื่อมีเรื่องสำคัญ ผู้ดูแลควรเรียนรู้ภาษากายเฉพาะของผู้ป่วย
3. สมุดเขียนข้อความหรือไวท์บอร์ด
ให้ผู้ป่วย เขียนข้อความสื่อสารเอง หากยังควบคุมมือได้ดี เช่น เขียนสิ่งที่ต้องการกิน ความรู้สึก หรือคำถามที่อยากถาม ใช้ปากกาหรือไวท์บอร์ดที่ลบได้ง่ายสำหรับการใช้งานซ้ำ
4. แอปพลิเคชันช่วยสื่อสาร
ในปัจจุบันมีแอปพลิเคชัน เช่น Text to Speech หรือ AAC (Augmentative and Alternative Communication) ที่ช่วยเปล่งเสียงแทนข้อความที่พิมพ์ สามารถใช้บนมือถือหรือแท็บเล็ตเพื่อช่วยให้ผู้ป่วย “พูด” ได้แม้จะไม่มีเสียง
5. การใช้เสียงกระซิบหรือวาล์วพูด (Speaking Valve)
ในบางรายที่แพทย์อนุญาต อาจใส่อุปกรณ์ที่เรียกว่า Speaking Valve เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเปล่งเสียงได้บ้าง โดยต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือพยาบาลเท่านั้น และใช้ได้เฉพาะในรายที่มีความพร้อมเท่านั้น
การเสริมสุขภาพจิตและแรงใจให้ผู้ป่วยและผู้ดูแล
อย่ามองข้ามสุขภาพใจของผู้ดูแลเช่นกัน ผู้ดูแลสามารถทำกิจกรรมง่าย ๆ ร่วมกับผู้ป่วยได้ เช่น
- ฟังดนตรีเบา ๆ บำบัดด้วยเสียงดนตรีในผู้สูงอายุ
- พูดคุย สร้างกำลังใจทุกวัน
- ทำ เกมฝึกความจำสำหรับผู้สูงอายุ หรือกิจกรรมพัฒนาสมองที่เหมาะสม
ดูแลด้วยใจ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
การดูแลผู้ป่วยเจาะคออาจดูยากในช่วงแรก แต่เมื่อเข้าใจ หลักการที่ถูกต้อง และมีความอดทนในการฝึกฝน ผู้ดูแลจะสามารถดูแลได้อย่างคล่องแคล่วและมั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับภาวะซับซ้อน เช่น การให้อาหารผ่านสายยาง การดูแลท่อเจาะคอ และการป้องกันการติดเชื้อ
หากรู้สึกเหนื่อยหรือไม่มั่นใจ สามารถขอคำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์ หรือเลือกใช้บริการจากศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่มีประสบการณ์ด้านนี้
บทความที่คุณอาจสนใจ

รับสมัคร พยาบาลประจำศูนย์ ดูแล Myluck Nursing Home

การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยหลังผ่าตัด

เครื่องดื่มแบบไหนเหมาะกับผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุกับภาวะนอนไม่หลับที่ไม่ควรมองข้าม

วิธีแก้ปัญหาผู้ป่วยติดเตียงเบื่ออาหาร
