สโตรกในผู้สูงอายุ ทำไม 72 ชั่วโมงแรกหลังเกิดเหตุถึงสำคัญที่สุดในการดูแล?

สโตรกในผู้สูงอายุ: ทำไมการดูแล 72 ชั่วโมงแรกจึงสำคัญที่สุด?
สโตรกในผู้สูงอายุ (โรคหลอดเลือดสมอง) คือภาวะที่การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองหยุดชะงักกะทันหัน ไม่ว่าจะจากหลอดเลือดสมองตีบ/อุดตันหรือหลอดเลือดแตก ส่งผลให้เนื้อสมองขาดออกซิเจนและสารอาหารอย่างเฉียบพลัน ผู้ป่วยอาจเกิดความพิการเช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือล้มเหลวในการทำงานของร่างกายบางส่วน ในกรณีร้ายแรงอาจถึงแก่ชีวิตได้ โรคนี้มีผลกระทบรุนแรงต่อทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา จิตใจ และการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว
โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่ร่างกายเสื่อมถอยและมักมีโรคร่วม เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูง ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง
การดูแลและฟื้นฟูผู้ป่วยสโตรกสูงอายุอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะแรกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยกลับมาช่วยเหลือตัวเองและใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติที่สุด
ทำไม 72 ชั่วโมงแรกหลังสโตรกจึงเป็นช่วงวิกฤต?
ช่วง 72 ชั่วโมงแรก หลังเกิดสโตรกถือเป็นระยะวิกฤตที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ผู้ป่วยอาจมีอาการเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วทั้งในทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลง ในเวลานี้สมองบางส่วนอาจยังไม่ถูกทำลายถาวร การรักษาและดูแลอย่างทันท่วงทีสามารถช่วยกู้เนื้อสมองและลดความพิการได้
หากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้องและทันเวลา ผู้ป่วยอาจมีอาการทรุดลงจนเกิดความพิการรุนแรงหรือเสียชีวิตได้ ดังนั้นใน การดูแล 72 ชั่วโมงแรก ทีมแพทย์และพยาบาลจะให้การดูแลเฉพาะทางในหอผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองหรือห้องผู้ป่วยวิกฤต (ICU) โดยมีการติดตามอาการทุกระยะ นาทีต่อนาที ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาชีวิตผู้ป่วย ลดความรุนแรงของอัมพาต และป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
พยาบาลจะคอยประเมินอาการทางระบบประสาท สัญญาณชีพ และตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดตลอดช่วงเวลานี้
การดูแลผู้ป่วยสโตรกใน 72 ชั่วโมงแรก
ในการดูแลผู้ป่วยช่วงวิกฤตนี้ ทีมสหสาขาวิชาชีพ (แพทย์ พยาบาล นักกายภาพบำบัด ฯลฯ) จะร่วมมือกันวางแผนดูแลแบบองค์รวม ทั้งการรักษาทางการแพทย์และการพยาบาลอย่างใกล้ชิด ครอบครัวควรทำความเข้าใจขั้นตอนการดูแลเพื่อสามารถสนับสนุนการรักษาได้อย่างเหมาะสม โดยแนวทางstroke care ในระยะ 72 ชั่วโมงแรก มีดังนี้:
การสังเกตอาการและสัญญาณชีพ
- เฝ้าระวัง การเปลี่ยนแปลงระดับความรู้สึกตัว แขนขาอ่อนแรง การพูด และการหายใจ อย่างใกล้ชิด
- ตรวจวัด สัญญาณชีพ ได้แก่ ความดันโลหิต ชีพจร การหายใจ และอุณหภูมิ ทุก 1–2 ชั่วโมง ตามคำสั่งแพทย์
- การเฝ้าสังเกตช่วยให้ทีมแพทย์สามารถ ตรวจพบภาวะแทรกซ้อน ได้ตั้งแต่ระยะต้น เช่น สมองบวม เลือดออกซ้ำ หรือปอดบวม
การควบคุมความดันโลหิตและปัจจัยพื้นฐานอื่น ๆ
- ความดันโลหิตเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องรักษาให้อยู่ในระดับที่ ปลอดภัยและเหมาะสม
- หากความดันไม่สูงมาก แพทย์อาจ ยังไม่ให้ยาลดความดันทันที เพื่อให้สมองได้รับเลือดอย่างพอเพียง
- ควบคุมปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น:
- ระดับน้ำตาลในเลือด: ป้องกันน้ำตาลสูงหรือต่ำเกินไป
- อุณหภูมิร่างกาย: ระวังไม่ให้เกิดไข้สูงเกินไป
- ออกซิเจน: ให้ออกซิเจนเสริมหากพบภาวะพร่องออกซิเจน
การจัดท่าผู้ป่วยและการป้องกันแผลกดทับ
- จัดท่าให้นอน ศีรษะสูง 30 องศา เพื่อช่วยการไหลเวียนเลือด
- พลิกตะแคงตัวทุก 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันแผลกดทับ
- ใช้ ผ้ารองยกตัว แทนการลากผู้ป่วย และรองหมอนนุ่มบริเวณใต้ขา
- รักษาผิวหนังให้ สะอาดและแห้ง อยู่เสมอ ลดการติดเชื้อทางผิวหนัง
การป้องกันภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
- เริ่ม กายภาพบำบัดเบื้องต้น (Passive exercise) ตั้งแต่ระยะแรกเพื่อ:
- ลดการเกิดลิ่มเลือด (DVT)
- ลดการเกร็งค้างของข้อต่อ
- ดูแล การกลืนและโภชนาการ:
- งดอาหารทางปากชั่วคราวหากผู้ป่วยกลืนลำบาก
- ให้ อาหารทางสายยาง และเริ่มอาหารอ่อนเมื่อพร้อม
- ดูแล ระบบขับถ่าย:
- ป้องกันท้องผูก
- รักษาความสะอาดของสายสวนปัสสาวะและ นำออกโดยเร็ว
การดูแลด้านอารมณ์และจิตใจของผู้ป่วยและครอบครัว
นอกจากการดูแลด้านร่างกายแล้ว การดูแลทางอารมณ์ของทั้งผู้ป่วยและครอบครัวก็เป็นส่วนสำคัญ ผู้สูงอายุที่เกิดสโตรกกะทันหันอาจรู้สึกกลัว วิตกกังวล หรือซึมเศร้าจากการสูญเสียความสามารถเดิม ครอบครัวและผู้ดูแลควรให้กำลังใจ พูดคุยปลอบโยน และรับฟังความรู้สึกของผู้ป่วยอย่างอดทน การสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและสนับสนุนจะช่วยให้ผู้ป่วยมีกำลังใจต่อสู้และร่วมมือในการรักษามากขึ้น ในขณะเดียวกัน ญาติผู้ดูแลเองก็มักเกิดความเครียดและเหนื่อยล้าจากบทบาทหน้าที่ใหม่ที่ต้องดูแลผู้ป่วยตลอดเวลา หากผู้ดูแลไม่ได้รับการเตรียมตัวหรือความรู้ที่เพียงพอ ก็ยิ่งเสี่ยงเกิดความเครียดและหมดไฟได้ง่าย
ญาติผู้ดูแลควรได้รับการส่งเสริมความรู้และทักษะในการดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง เช่น อาจเข้ารับการอบรมเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองและการฟื้นฟูผู้ป่วยเป็นระยะ ๆ เพื่อพัฒนาทักษะและความมั่นใจในการดูแลผู้ป่วย นอกจากนี้ภาครัฐและชุมชนสามารถช่วยเหลือครอบครัวผู้ป่วยได้ในหลายด้าน เช่น จัดให้มีบริการปรึกษาทางโทรศัพท์กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเมื่อผู้ดูแลมีปัญหาในการดูแลผู้ป่วย จัดระบบ กิจกรรมผู้สูงอายุ ในชุมชนเพื่อให้ผู้ป่วยได้เข้าร่วมเสริมสร้างกำลังใจ เท่าที่สภาพร่างกายเอื้ออำนวย รวมถึงการจัดให้มีวันหยุดพักสำหรับผู้ดูแลหลัก โดยหาอาสาสมัครหรือญาติคนอื่นมาผลัดเปลี่ยนดูแลผู้ป่วยชั่วคราว มาตรการเหล่านี้จะช่วยแบ่งเบาภาระและลดความตึงเครียดของครอบครัว ทำให้ทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแลมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น
หลังพ้นช่วง 72 ชั่วโมงแรก ผู้ป่วยยังต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
ความร่วมมือระหว่างทีมแพทย์ พยาบาล นักกายภาพบำบัด และครอบครัว
จำเป็นต้องมี การประชุมวางแผนการดูแลร่วมกัน ตั้งแต่ก่อนออกจากโรงพยาบาล ระหว่างทีมสหสาขาวิชาชีพและครอบครัว
แพทย์ จะติดตามอาการ ปรับแผนการรักษา และดูแลโรคประจำตัวที่เป็นสาเหตุของสโตรก
พยาบาลวิชาชีพ ให้คำแนะนำการดูแลต่อเนื่อง เช่น การให้ยา ดูแลการกลืน การจัดท่านอน การดูแลผิวหนัง
นักกายภาพบำบัด วางแผนการฟื้นฟู เช่น บริหารร่างกาย ฝึกการทรงตัว การเดิน การใช้อุปกรณ์ช่วยเคลื่อนไหว
ครอบครัว เป็นผู้ดูแลหลักในชีวิตประจำวัน จึงควร:
- ได้รับคำแนะนำเรื่อง ความปลอดภัยในบ้าน เช่น ปรับสภาพพื้นทางเดิน ห้องน้ำ
- เรียนรู้การช่วยเหลือด้านกิจวัตร เช่น การอาบน้ำ การเปลี่ยนเสื้อผ้า
- ฝึกสังเกตอาการผิดปกติ เช่น กลืนลำบาก ปัสสาวะผิดปกติ หรืออารมณ์เปลี่ยน
ในกรณีที่ดูแลเต็มเวลาไม่ได้ อาจเลือก ศูนย์ฟื้นฟูหรือเนอร์สซิ่งโฮม ที่มีทีมดูแลพร้อม
- มี ตารางกิจกรรมศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ เช่น กายภาพบำบัด กิจกรรมพัฒนาสมอง และสันทนาการ
- ช่วยให้ผู้ป่วยได้ใช้ร่างกายที่ฟื้นตัว ส่งเสริมสุขภาพจิตใจ
เป้าหมายคือ ให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติ มี คุณภาพชีวิตที่ดี และลดภาระของผู้ดูแลในครอบครัว
บทความที่คุณอาจสนใจ

กิจกรรมหลักทั้ง 8 ที่เราได้ทำให้กับผู้สูงอายุ

อาหารบำรุงสมอง ป้องกันอัลไซเมอร์ ความจำดีเริ่มต้นจากการทาน

วิธีเติมความสุขให้ผู้สูงอายุ ในวันที่ลูกหลานไม่มีเวลา

ภาวะกลืนลำบากในผู้สูงอายุ วิธีปรับอาหารและการดูแลเพื่อลดความเสี่ยงสำลัก
